Grid Brief

  • อย่างที่ทราบกันว่าโลกเราร้อนขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในปี 2559 และ 2563 ทำให้หลายองค์กรและหน่วยงานทั่วโลกรณรงค์ให้ช่วยกันลดภาวะโลกร้อน เช่น งดการใช้พลาสติก และหันมารีไซเคิลสิ่งของที่ยังใช้ได้อยู่
  • ในปี 2564 เป็นปีที่โลกร้อนมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์โลก และเมื่อโลกร้อนแสดงว่าระดับของก๊าซเรือนกระจกย่อมสูงและมีมลพิษเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • สิ่งที่น่าเศร้าใจคือสาเหตุที่โลกร้อนขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ โดยเฉพาะด้านการคมนาคมขนส่ง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้โลกร้อนขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง

เชื่อไหมว่าโลกเราร้อนขึ้นทุก ๆ ปี โดยเฉพาะในปี 2564 ถือเป็นปีที่โลกร้อนมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ในประวัติศาสตร์เท่าที่มีการบันทึกสถิติไว้ แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือโลกเราร้อนขึ้นจากฝีมือมนุษย์มากกว่าปัจจัยอื่น ๆ 

Credit: Patrick Perkins

ที่สุดของภาวะโลกร้อนคือปี 2559 และ 2563

จากข้อมูล Corpernicus Climate Change Service แห่งสหภาพยุโรป ระบุไว้ว่า  ปีที่โลกร้อนที่สุดคือปี 2559 และ 2563 ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้คนต้องทุกข์ทรมานกับอากาศร้อนจัดจนอยากย้ายไปอยู่เมืองหนาวแล้ว แต่ยังหมายถึงระดับของก๊าซเรือนกระจก ทั้งก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนได้เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งนี้ ความน่ากลัวของภาวะโลกร้อน ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่คาดฝันขึ้นทั่วโลก อาทิ เกิดน้ำท่วมยุโรป จีน และซูดานใต้ ไฟไหมป่าในซีบีเรียและสหรัฐอเมริกา เป็นต้น สำหรับปีที่ผ่านมา พ.ศ.2564  โลกอยู่ในภาวะร้อนที่สุดเป็นอันดับ 5 จากที่เคยมีการบันทึกข้อมูลไว้


โลกร้อนจากฝีมือคน

ระดับของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานไฟฟ้า การผลิตน้ำมันและก๊าซเพื่อนำมาใช้งานในครัวเรือนและในชีวิตประจำวัน ตลอดจนการคมนาคมขนส่งที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก และส่งผลให้โลกร้อนขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม จากรายงานประจำปี Inventory of U.S. Greenhouse Gas Emissions and Sinks ปี 2563 มีการประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศสหรัฐอเมริกา และได้สรุปข้อมูลเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ที่ส่งผลให้โลกร้อนขึ้นอย่างทุกวันนี้ โดยเรียงลำดับ 6 สาเหตุจากสูงสุดไปต่ำสุด ดังนี้

Credit: Markus Spiske
  1. การขนส่งคมนาคม เป็นกิจกรรมอันดับ 1 ของมนุษย์ที่มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดถึง 27% ในปี 2563 ซึ่งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการขนส่งส่วนใหญ่ เกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลสำหรับรถยนต์ รถบรรทุก เรือ รถไฟ และเครื่องบิน โดยมากกว่า 90% ของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการขนส่งเป็นเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม ซึ่งรวมถึงน้ำมันเบนซินและดีเซลเป็นหลัก
  2. การผลิตพลังงานไฟฟ้า สูงสุดเป็นอันดับ 2 หรือเท่ากับ 25% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ พลังงานไฟฟ้าที่คนเราใช้นั้นมาจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยส่วนใหญ่เป็นถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ
  3. โรงงานอุตสาหกรรม การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมโดยส่วนใหญ่มาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อใช้เป็นพลังงาน ทั้งนี้ ในปี 2563 การปล่อยก๊าซเรือนกระจากที่มาจากโรงงานอุตสาหกรรม คิดเป็นอันดับ 3 หรือเท่ากับ 24%
  4. ธุรกิจการค้าและที่อยู่อาศัย คิดเป็นอันดับ 4 หรือเท่ากับ 13% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2563 ทั้งนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากธุรกิจการค้าและจากบ้านเรือน เกิดขึ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ถูกเผาไหม้เพื่อใช้เป็นพลังงานความร้อน การใช้ผลิตภัณฑ์บางชนิดที่มีก๊าซเรือนกระจก และการจัดการของเสีย
  5. การทำเกษตรกรรม ต้องยอมรับว่าการทำเกษตรกรรมนั้น ส่งผลให้โลกเราร้อนขึ้นโดยเฉพาะการเกษตรที่มาจากฟาร์มปศุสัตว์ เช่น การผลิตข้าวหรือการปลูกพืชเชิงเดี่ยวเพื่อใช้เป็นอาหารของสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงวัว ซึ่งอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของการทำเกษตรกรรมต่างๆ เหล่านี้ คิดเป็น 11% จากกิจกรรมทั้งหมดที่ทำให้โลกร้อนจากฝีมือมนุษย์เป็นอันดับ 5 
  6. การใช้ทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ แม้การนำทรัพยากรที่ดินและป่าไม้มาใช้ประโยชน์จะคิดเป็น 13% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี  2563 แต่ในขณะเดียวกันพื้นดินก็ทำหน้าที่เป็นอ่างเก็บกักและดูดซับก๊าซคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศได้ด้วย ในสหรัฐอเมริกา นับตั้งแต่ปี 2533 ป่าไม้ที่ได้รับการจัดการและที่ดินอื่น ๆ ก็ได้กลายเป็นแหล่งกักเก็บก๊าซคาร์บอนในชั้นบรรยากาศ ว่ากันว่า สามารถดูดซับก๊าซคาร์บอนได้มากกว่าก๊าซที่ปล่อยออกมาเสียอีก ด้วยเหตุนี้ การใช้ทรัพยากรที่ดินและป่าไม้จึงถือเป็นกิจกรรมของมนุษย์ที่ทำให้โลกร้อนน้อยที่สุด

Cover Photo: Roxanne Desgagnes