ศูนย์วิจัยอนาคตศึกษาแห่งแรกของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทย (FutureTales LAB by MQDC)  โดยนักวิจัยด้านการคาดการณ์อนาคตร่วมกับคณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิเคราะห์และคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตการทำงานที่จะเป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งจะส่งผลต่อวิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่  โดยชี้ให้เห็นว่าการทำงานในอนาคตอาจจะเปลี่ยนแปลงจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ตั้งแต่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว การเกิดโรคระบาดและผลกระทบจากสงครามที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบให้องค์กรต้องปรับตัวเพื่อพร้อมรับรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไป อย่างเช่น กระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือนทั่วโลกช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด (The Great Resignation) โดยพบว่า ในปีที่ 2564 ที่ผ่านมา พนักงานกว่า 11.5 ล้านคนลาออกจากงาน และอีก 48% ของพนักงานมีแนวโน้มจะลาออก จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน และการประชุมออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ มากขึ้นถึง 200% ส่งผลให้พนักงานเกิดภาวะหมดไฟ 

ขณะที่จากสถิติพบว่า กว่า 77% ของแรงงานมีประสบการณ์เกิดภาวะหมดไฟ 91% กล่าวว่า ความเครียดที่ไม่สามารถจัดการได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพงาน 83% กล่าวว่า ความเหนื่อยหน่ายอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว และ41% ของพนักงานทั่วโลกพิจารณาที่ลาออก  โดยเกิดจากปัจจัยสำคัญ 3 เรื่อง ดังนี้

Credit: Unsplash License

แรงงาน (Workforce)

ในปัจจุบันเรียกได้ว่าอยู่ระหว่าง Workforce 3.0 แรงงานมีความต้องการเป็นเจ้าของกิจการ และ Workforce 4.0 แรงงานเลือกทำงานหลากหลายและทำงานได้จากทุกที่ ทว่า  ในอนาคตจากการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านต่างๆ ส่งผลให้แรงงานเข้าสู่ Workforce 5.0 จากการมีอายุยืนยาวขึ้น ทำให้อายุเกษียณยืดออกไปได้ตามความสามารถของแรงงาน การเรียนรู้ตลอดชีวิต และความยืดหยุ่นและความคิดแบบเติบโต  ถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทำให้แรงงานยังปรับตัวได้ทัน เพื่อป้องกันการอยู่ในสถานะไม่สามารถถูกจ้างงานได้ (Unemployable) ซึ่งน่ากลัวยิ่งกว่าการตกงาน (Unemployed)

Credit: XR Expo

พื้นที่ทำงาน (Workspace)

ความคาบเกี่ยวกันระหว่างยุคการทำงานที่เป็นห้องสี่เหลี่ยม แบ่งแยกสัดส่วนชัดเจน และยุคพื้นที่ทำงานที่เปิดโล่ง  มีอิสระในพื้นที่ทำงาน เพื่อส่งเสริมให้เกิดไอเดียใหม่จากการปฏิสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน  ในอนาคตจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีในด้านต่างๆ โดยเฉพาะโลกเสมือน (Metaverse) ส่งผลให้สถานที่ทำงานเข้าสู่ยุคพื้นที่ทำงานที่เชื่อมโยง ไร้รอยต่อระหว่างพื้นที่ทำงานจริงและพื้นที่โลกเสมือน (Virtual Workspace) ทำให้อุปสรรคในด้านพื้นที่การทำงานหมดไป เกิดพื้นที่ทำงานรูปแบบใหม่ที่เอื้อต่อการทำงาน การสร้างวัฒนธรรมองค์กรได้ทุกสถานที่ เวลา องค์กรส่วนใหญ่จะปรับตัวสำหรับโลกการทำงานและการบริหารงานใน Metaverse มากขึ้น

ขณะที่จากสถิติพบว่า กว่า 77% ของแรงงานมีประสบการณ์เกิดภาวะหมดไฟ 91% กล่าวว่า ความเครียดที่ไม่สามารถจัดการได้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพงาน 83% กล่าวว่า ความเหนื่อยหน่ายอาจส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ส่วนตัว

องค์กร (Organization)

ยุคปัจจุบันอยู่ระหว่างยุค Organization 3.0 (ยุค Machine) องค์กรมีเป้าหมายมุ่งเน้นความสำเร็จ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และยุค Organization 4.0 (ยุค Family) ไม่เน้นโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน แต่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กร และการเพิ่มอำนาจให้พนักงาน  เมื่อเข้าสู่ในยุค Organization 5.0 (ยุค Living System) คือ องค์กรขนาดใหญ่จะถูกลดขนาดลงให้มีความคล่องตัว เน้นการกระจายอำนาจ ยืดหยุ่น และเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถบริการจัดการด้วยตัวเอง โดยองค์กรจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงประเด็นความหลากหลาย และการมีส่วนร่วม เพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนได้อย่างราบรื่น 

นอกจากนี้ การวิจัยยังระบุด้วยว่า องค์กรต้องคำนึงถึงการบริหารนโยบาย Diversity & Inclusion (D&I) ที่ไม่ครอบคลุมเพียงแค่ความแตกต่างในเรื่องเพศหรืออายุเท่านั้น แต่ยังต้องมองไปถึงความหลากหลายในเรื่องความสามารถ วิธีคิด ค่านิยม และความเชื่อ  รวมถึงสภาพแวดล้อมการทำงานควรเปิดโอกาสให้พนักงานได้เป็นตัวของตนเองอย่างแท้จริง สนับสนุนบุคลากรทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม ช่วยให้พนักงานรุ่นใหม่รับรู้ถึงพลังอำนาจ และต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงขององค์กร รวมถึงมองความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานเป็นส่วนสำคัญของแผนธุรกิจ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนไปข้างหน้า


ที่มา